กระทรวงดิจิทัลเพื่อเศรษฐกิจและสังคม (ดีอี) เผยความคืบหน้ากรณี “สแกนม่านตาแลกเหรียญคริปโต” ที่กลายเป็นกระแสกังวลทั่วประเทศในประเด็นความปลอดภัยของข้อมูลชีวภาพและความถูกต้องตามกฎหมาย โดยสำนักงานคณะกรรมการคุ้มครองข้อมูลส่วนบุคคล (สคส.) ได้ตรวจสอบต่อเนื่องตั้งแต่เริ่มพบความผิดปกติ จนนำไปสู่คำสั่งทางปกครองให้ผู้ให้บริการ หยุดเก็บข้อมูลม่านตาทันที และ ลบข้อมูลประชาชน 1.2 ล้านราย ทั้งหมด
ไชยชนก ชิดชอบ รมว.ดีอี ระบุว่า แม้รัฐส่งเสริมเทคโนโลยี AI และระบบยืนยันความเป็นมนุษย์ แต่เงื่อนไขการเก็บข้อมูลชีวภาพต้องชัดเจน โปร่งใส และสอดคล้องกับ PDPA อย่างเคร่งครัด ซึ่งจากการตรวจสอบพบว่า ผู้ให้บริการใช้วิธี “จูงใจด้วยเหรียญคริปโต” เพื่อให้ประชาชนยินยอม ถือเป็นความยินยอมที่ไม่เป็นอิสระ อีกทั้งยังแจ้งวัตถุประสงค์ว่าเพื่อยืนยันความเป็นมนุษย์ แต่ระบบกลับไม่อนุญาตให้สแกนซ้ำ จนนำไปสู่ข้อสรุปว่ามีการใช้ข้อมูลเพื่อยืนยันตัวบุคคลเกินขอบเขตที่แจ้งไว้ตั้งแต่ต้น
สคส. จึงมีคำสั่ง 2 ประการ คือ 1) ระงับการเก็บข้อมูลม่านตาทั้งหมดและรายงานผลภายใน 7 วัน และ 2) ลบข้อมูล 1.2 ล้านคนเพื่อป้องกันการโอนย้ายออกนอกประเทศโดยไม่ชอบด้วยกฎหมาย พร้อมชี้ว่าหลายประเทศทั่วโลก เช่น เยอรมนี สเปน เกาหลีใต้ อินโดนีเซีย และบราซิล ได้สั่งระงับเทคโนโลยีลักษณะเดียวกันเช่นกัน
นอกจากนี้ การตรวจสอบร่วมกับหน่วยงานรัฐพบพฤติกรรมที่เข้าข่ายความผิดเพิ่มเติม เช่น ขบวนการรับจ้างสแกนม่านตาเพื่อนำเหรียญไปปล่อยให้บุคคลอื่นใช้ รวมถึงการจับกุมผู้แลกเหรียญโดยไม่ได้รับอนุญาต ซึ่งทั้งหมดจะถูกขยายผลโดยกรมสอบสวนคดีพิเศษ (DSI) และหน่วยงานที่เกี่ยวข้องต่อไป
ทั้งนี้ จากการตรวจสอบร่วมกับหน่วยงานที่เกี่ยวข้อง นอกจากการตรวจพบการกระทำความผิดตามกฎหมายว่าด้วยการคุ้มครองข้อมูลส่วนบุคคลดังกล่าวแล้ว ยังมีประเด็นที่น่าสงสัยอื่นๆ เช่น กรณีมีขบวนการจ้างคนมาสแกนม่านตาแลกเหรียญเพื่อนำไปให้บุคคลอื่นใช้ โดยการตรวจสอบขยายผลของ ก.ล.ต.และตำรวจไซเบอร์ได้ตรวจพบและมีการจับกุมผู้รับแลกเหรียญดิจิทัลโดยไม่ได้รับอนุญาตมาแล้วหลายราย จึงเป็นเหตุสงสัยว่าอาจมีประเด็นที่เกี่ยวข้องกับความผิดตามกฎหมายอื่นๆอีกซึ่งในส่วนนี้จะได้มีการสืบสวนขยายผลโดยเจ้าหน้าที่ DSI และเจ้าหน้าที่หน่วยงานอื่นๆที่เกี่ยวข้องต่อไป
พ.ต.อ.สุรพงศ์ เปล่งขำ เลขาธิการ สคส. ย้ำว่าเป้าหมายสำคัญคือการปกป้องข้อมูลชีวภาพของประชาชน และสร้างความเชื่อมั่นต่อระบบกำกับดูแล ไม่ใช่การปิดกั้นเทคโนโลยีใหม่ แต่ต้องทำให้ถูกต้องตามกฎหมายเพื่อป้องกันความเสียหายในอนาคต
เลขาธิการ สคส. เน้นย้ำว่า สคส. หรือ PDPC ให้ความสำคัญสูงสุดกับการคุ้มครองข้อมูลอ่อนไหวของประชาชน โดยเฉพาะข้อมูลชีวภาพ (Biometric Data) โดยการระงับการดำเนินการดังกล่าวเป็นไปเพื่อป้องกันความเสียหายที่เกิดขึ้นจากการเก็บรวบรวมข้อมูลที่ไม่ถูกกฎหมาย และบูรณาการความร่วมมือกับหน่วยงานที่เกี่ยวข้องในการบังคับใช้กฎหมายอย่างเต็มที่เพื่อความสงบเรียบร้อยและสร้างความเชื่อมั่นแก่ประชาชน โดย “ไม่เป็นการปิดกั้นการใช้เทคโนโลยีใหม่ๆ ในการยืนยันความเป็นมนุษย์” แต่อย่างใด
