สถานการณ์การแพร่ระบาดของโรคติดเชื้อไวรัสโคโรนา 2019 หรือโควิด-19 ในไทย ในช่วง 5 เดือนแรกของปี 2568 ยังพบผู้ป่วยเพิ่มขึ้นอย่างต่อเนื่อง

โดยเมื่อวันที่ 1 มิ.ย.เว็บไซต์กรมควบคุมโรค รายงานสถานการณ์การแพร่ระบาดของโรคโควิด-19 สัปดาห์ที่ 22 ของปี 2568 (วันที่ 25-31 พ.ค.) มีผู้ป่วยรายใหม่เพิ่มขึ้น 65,880 คน เป็นผู้ป่วยนอก 62,828 คน ผู้ป่วยที่นอนโรงพยาบาล 3,052 คน รวมผู้ป่วยสะสมตั้งแต่วันที่ 1 ม.ค.ถึงวันที่ 31 พ.ค.2568 จำนวน 287,035 คน เสียชีวิตเพิ่ม 3 คน รวมผู้ป่วยเสียชีวิตสะสม ตั้งแต่วันที่ 1 ม.ค.ถึงวันที่ 31 พ.ค.2568 จำนวน 62 คน จังหวัดที่มีรายงานผู้ป่วยสูงสุด ได้แก่ กรุงเทพ มหานคร 7,492 คน ชลบุรี 4,518 คน นครราชสีมา 2,947 คน นนทบุรี 2,343 คน กลุ่มอายุของผู้ป่วยสูงสุด คือ กลุ่มอายุ 30-39 ปี จำนวน 12,403 คน ตามมาด้วยกลุ่มอายุ 20-29 ปี จำนวน 10,368 คน กลุ่มอายุ 60 ปีขึ้นไป จำนวน 9,590 คน
ด้าน รศ.นพ.ธีระ วรธนารัตน์ อาจารย์คณะแพทยศาสตร์ จุฬาลงกรณ์มหาวิทยาลัย วิเคราะห์การระบาดของไทยในสัปดาห์ที่ผ่านมาว่า เพิ่งจบวันที่ 7 ของสัปดาห์ไป จำนวนเคสป่วยรักษาที่ รพ.พุ่งไป 65,846 รายแล้ว ตายไป 3 ราย ที่สำคัญคือเกือบร้อยละ 30 เป็นกลุ่มเด็ก (0-19 ปี) จำนวนสูงถึง 18,945 ราย ด้วยการกระจายไปในกลุ่มเด็กใน สัดส่วนหนึ่งในสามเช่นนี้ ปัญหาการระบาดในโรงเรียน และสถานศึกษา รวมถึงสถานรับเลี้ยงเด็ก จำเป็นต้องจัดการอย่างจริงจัง ปีนี้จำนวนเคสป่วยโควิด-19 สะสม 287,050 ราย ยอดเสียชีวิตรวม 62 ราย สำหรับสัปดาห์ก่อนหน้า จำนวนเคสจากการรายงานล่าช้า delayed report พุ่งไปถึง 85,217 ราย เสียชีวิตสูงถึง 16 ราย เป็นสถิติตายรายสัปดาห์มากสุดในปีนี้
รศ.นพ.ธีระระบุอีกว่า โควิด-19 ไม่ใช่หวัดธรรมดา ไม่เหมือนไข้หวัดใหญ่ วาทกรรมไม่รุนแรงที่ชอบปั่นพ่วงท้าย โดยเทียบกับสายพันธุ์ดั้งเดิมนั้น ส่งผลกระทบมากมาย บิดเบือนการรับรู้ถึงภัยจากการติดเชื้อและป่วย จนนำไปสู่การละเลยเพิกเฉยพฤติกรรมป้องกัน
ขณะที่ ศ.นพ.ยง ภู่วรวรรณ หัวหน้าศูนย์เชี่ยวชาญ เฉพาะทางด้านไวรัสวิทยาคลินิก คณะแพทยศาสตร์ จุฬาลงกรณ์มหาวิทยาลัย กล่าวถึงสายพันธุ์โควิด-19 ในประเทศไทย ว่า สายพันธุ์ NB.1.8.1 เป็นสายพันธุ์หลัก ในประเทศไทยแล้ว และมีแนวโน้มจะมากขึ้นอีก ตามแนวโน้มของโลก สายพันธุ์นี้ติดต่อง่ายมาก ถ้ามองย้อนตั้งแต่สายพันธุ์โอมิครอน มาจนถึงปัจจุบัน สายพันธุ์โอมิครอน มีอำนาจการติดต่อในประเทศต่างๆ กระจายได้จากผู้ป่วยคนหนึ่งไปยังผู้ป่วยคนอื่นๆ 3-6 คน ส่วนสายพันธุ์ใหม่นี้ อำนาจการกระจายของโรคเพิ่มขึ้นให้เป็น 5 คน แสดงว่าผู้ป่วย 1 คน ใช้เวลา 3 ถึง 5 วัน จะแพร่กระจายไปได้ 5 คน อีก 5 วันต่อมา ก็จะกระจายไปเป็น 25 คน อีก 5 วันต่อมา ก็จะเป็น 125 คน และ 625 คน ถ้าเป็นระยะเวลา 1 เดือน เพียงผู้ป่วยรายเดียว จะเพิ่มจำนวนผู้ป่วยไปได้เท่าไหร่ ตัวเลขดังกล่าว แสดงให้เห็นว่าการเพิ่มขึ้นนี้จะเพิ่มขึ้นอย่างรวดเร็วมาก ใช้เวลาอีกไม่นาน จะมีผู้ป่วยติดเป็นส่วนใหญ่ แล้วโรคจึงจะสงบสายพันธุ์ NB.1.8.1 ในประเทศไทยนี้ จะมีผู้ป่วยจำนวนมาก แต่ความรุนแรงไม่ได้เพิ่มขึ้น มีแนวโน้มลดลงจึงทำให้ยอดผู้ป่วยที่ต้องนอนโรงพยาบาล ไม่ได้เพิ่มขึ้นแต่อย่างใด รวมทั้งยอดผู้เสียชีวิตก็ไม่ได้เพิ่มขึ้น มีแต่จะน้อยลง
เครดิต : https://www.thairath.co.th/news/local/2862032