รัฐบาลญี่ปุ่นประกาศ คุมเข้มกฎการยื่นขอวีซ่าผู้บริหารธุรกิจ ตั้งแต่เดือนตุลาคมนี้ หลังพบว่ามีการนำวีซ่าดังกล่าวมาใช้เป็นช่องทางอพยพเข้าสู่ญี่ปุ่นโดยไม่ทำธุรกิจจริง
ภายใต้กฎใหม่ ผู้สมัครขอวีซ่าต้องมีเงินลงทุน อย่างน้อย 30 ล้านเยน หรือ ประมาณ 6.8 ล้านบาท ซึ่งเพิ่มขึ้นจากเดิมถึง 6 เท่า เพื่อสกัดผู้ที่ไม่ได้มีวัตถุประสงค์เข้ามาทำธุรกิจจริงๆ นอกจากนี้บริษัทยังต้องจ้างพนักงานเต็มเวลาอย่างน้อย 1 คน ซึ่งต้องเป็นพลเมืองญี่ปุ่นหรือผู้พำนักถาวรในญี่ปุ่น
 
            ขณะเดียวกัน ผู้สมัครยังต้องมีประสบการณ์ด้านการบริหารธุรกิจอย่างน้อย 3 ปี หรือมีวุฒิการศึกษา ระดับปริญญาโทขึ้นไป
นาย อิโตะ จุนจิ เจ้าหน้าที่จากหน่วยงานตรวจคนเข้าเมืองญี่ปุ่น ระบุว่า ที่ผ่านมามีการยื่นขอวีซ่าผู้บริหารผ่านบริษัทที่ไม่มีการดำเนินกิจการจริง แต่ใช้สถานะนี้เพื่ออพยพเข้าญี่ปุ่น ซึ่งเป็นสิ่งที่ไม่อาจยอมรับได้ เพราะกฎเกณฑ์เดิมนั้นหย่อนเกินไป
ข้อมูลพบว่ากว่าครึ่งของผู้ถือวีซ่าผู้บริหารธุรกิจเป็นชาวจีน ซึ่งส่วนหนึ่งเป็นนักลงทุนจริง แต่ก็มีจำนวนมากที่ใช้ช่องทางนี้เพื่ออพยพหนีจากสถานการณ์ในประเทศ เช่น มาตรการล็อกดาวน์เข้มงวดในช่วงโควิด-19 ของรัฐบาลปักกิ่ง และแรงกดดันด้านการศึกษาที่สูงมากจากการแข่งขันสอบเข้ามหาวิทยาลัยในจีน หลายครอบครัวจึงเลือกย้ายมาญี่ปุ่นเพื่อให้บุตรหลานได้เรียนในสภาพแวดล้อมที่กดดันน้อยกว่า
สำนักงานกฎหมายหลายแห่งที่ช่วยยื่นขอวีซ่าให้ลูกค้าระบุว่า มีกลุ่มผู้สมัครแสดงความกังวล โดยเฉพาะเงื่อนไขที่ต้องจ้างพนักงานเต็มเวลา ซึ่งอาจสร้างภาระหนักสำหรับธุรกิจขนาดเล็กหรือสตาร์ทอัพต่างชาติ โดยนาง มัตสึชิตะ นามิโกะ ผู้เชี่ยวชาญด้านนโยบายเศรษฐกิจญี่ปุ่น ให้ความเห็นว่า อุปสรรคในการเริ่มต้นธุรกิจในญี่ปุ่นสูงขึ้นมาก คนที่รักญี่ปุ่นและอยากมาลงทุนอาจถูกกันออกไป ซึ่งอาจส่งผลกระทบต่อบริษัทสตาร์ทอัพที่มีศักยภาพเติบโตในญี่ปุ่นได้
วีซ่าประเภทนี้เปิดตัวครั้งแรกเมื่อ 10 ปีก่อน เพื่อดึงดูดผู้ประกอบการต่างชาติให้เข้ามาลงทุนและสร้างงานในญี่ปุ่น แต่ปัจจุบันพบว่าได้รับความนิยมสูงผิดคาด โดยมีผู้ถือสถานะนี้กว่า 41,000 คนในปีที่ผ่านมา ซึ่งเพิ่มขึ้นกว่าเท่าตัวในรอบทศวรรษ
ขณะที่สำนักงานตรวจคนเข้าเมืองญี่ปุ่น ระบุว่าจะติดตามผลของกฎใหม่อย่างใกล้ชิด เพื่อประเมินผลกระทบต่อการลงทุนจากต่างประเทศและความสมดุลระหว่างการคัดกรองผู้อพยพ กับ การดึงดูดนักธุรกิจคุณภาพ.
เครดิต : https://www.thairath.co.th/news/foreign/2891830
